เกริ่นนำ
คำนำ: ประสบการณ์การบวช 4 เดือนของข้าพเจ้า
แจ้งเตือนไว้ก่อน (disclaimer) บทความกึ่ง blog นี้ เขียนขึ้นเพื่อเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้เคยไปบวชในวัดป่าแห่งหนึ่ง (วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี) ในช่วงเข้าพรรษาปี พ.ศ.2560 เพื่อให้ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และผู้สนใจต่าง ๆ ได้รับทราบเรื่องราวที่ได้ไปพบมา เพื่อเป็นการบันทึกประสบการณ์ของตนเองก่อนที่จะเลือนหายไป และเพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจ ผู้ที่คิดจะบวช ผู้ที่มองหาสถานที่ในการภาวนา หรือผู้อ่านที่สนใจในเรื่องพุทธศาสนาหรือการบวชโดยทั่ว ๆ ไป ข้าพเจ้ามีความตั้งใจที่จะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่พบมาอย่างตรงไปตรงมา เป็นการให้ข้อเท็จจริงที่ตนเองได้พบมา แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจาก blog นี้เป็นพื้นที่สาธารณะ จึงไม่สามารถเขียนพาดพิงถึงเรื่องราวบางประเด็นที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง หรือเป็นการเขียนในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ได้ จึงขอแจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่าข้อมูลที่ท่านได้อ่าน อาจจะเป็นข้อมูลที่เลือกเล่าเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกอย่างคือข้าพเจ้าเป็นเพียงอดีตพระใหม่ที่เพิ่งบวชเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น ยังถือว่ามีประสบการณ์และความรู้ในด้านข้อวัตรหรือการปฏิบัติที่น้อยอยู่มาก จึงควรแค่ฟังหูไว้หู หรือหาข้อมูลจากท่านผู้อื่นที่มีประสบการณ์และความรู้ในเรื่องนี้ที่ลึกซึ้งต่อไป
พื้นฐานแนวคิดของข้าพเจ้าก่อนบวช
จริง ๆ บทความนี้ไม่ได้ต้องการจะเล่าเรื่องตัวเองในอดีต อยากเน้นเล่าเรื่องที่ตนเองไปพบเจอมาในปัจจุบันมากกว่า แต่ก็คิดว่าถ้าผู้อ่านได้ทราบพื้นฐานแนวคิด ความเชื่อ ของผู้เขียนมาบ้างจะทำให้สามารถเข้าใจได้ชัดเจนขึ้นว่า ทำไมผู้เขียนถึงมีความคิด หรือมีการกระทำ แบบนั้นแบบนี้ เพราะทุก ๆ พฤติกรรมหรือการตัดสินใจ ย่อมมีที่ไปที่มา
จริง ๆ บทความนี้ไม่ได้ต้องการจะเล่าเรื่องตัวเองในอดีต อยากเน้นเล่าเรื่องที่ตนเองไปพบเจอมาในปัจจุบันมากกว่า แต่ก็คิดว่าถ้าผู้อ่านได้ทราบพื้นฐานแนวคิด ความเชื่อ ของผู้เขียนมาบ้างจะทำให้สามารถเข้าใจได้ชัดเจนขึ้นว่า ทำไมผู้เขียนถึงมีความคิด หรือมีการกระทำ แบบนั้นแบบนี้ เพราะทุก ๆ พฤติกรรมหรือการตัดสินใจ ย่อมมีที่ไปที่มา
ข้าพเจ้ามีความสนใจเรื่องเรื่องพุทธศาสนามานานพอสมควรแล้ว จริง ๆ ปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีที่ 25 พอดีที่เริ่มมีความสนใจในพุทธศาสนา โดยได้เริ่มไปกราบครูบาอาจารย์เช่น หลวงปู่สิม พุทธาจาโร หลวงปู่ฤาษีลิงดำ พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นอายุ 17 ปี (ประมาณปี 1992) และได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระธุดงค์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่นจากหนังสือต่าง ๆ ของท่านอาจารย์พระมหามหาบัว ตั้งแต่ช่วงนั้น ตอนข้าพเจ้าเป็นวัยรุ่น ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับปฏิปทาของหลวงปู่มั่นและศิษย์ ก็เคยอยากเป็นพระธุดงค์ อยากบรรลุธรรม และมีความเชื่อว่าหนทางการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสารของพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยวิถีของชีวิตและสิ่งแวดล้อม ทำให้ข้าพเจ้าเพลิดเพลินไปกับกระแสของโลกมานานหลายสิบปี โดยหันไปแสวงหาความสำเร็จทางการศึกษา การทำงาน การใช้ชีวิต การแสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศต่าง ๆ แบบโลก ๆ มาตลอด ศรัทธาทางพุทธศาสนาของข้าพเจ้าก็เปรียบเสมือนศรัทธาหัวเต่า คือบางช่วงก็เข้มข้น บางช่วงก็ไม่มี บางช่วงก็รักษาศีล 5 ไม่ได้ บางทีก็เผลอไปทำบาปทำกรรมเข้า เรียกว่าใช้ชีวิตเหมือนปุถุชนทั่ว ๆ ไป ที่หลงตามกระแสของโลก
ข้าพเจ้าเริ่มมาสวดมนต์หรือปฏิบัติธรรมอีกบ้าง ในช่วงปี 2002-2010 ที่ได้มีการไปปฏิบัติธรรมตามคอร์สต่าง ๆ เช่นยุวพุทธิกสมาคม (คุณแม่สิริ กรินชัย) วัดอัมพวัน (หลวงพ่อจรัญ ฐิติธรรมโม) แต่ออกจะเป็นแนวการเข้าอบรมกรรมฐานเพื่อให้เกิดชีวิตที่ดี มีโชคลาภในชีวิตฆราวาสเสียมากกว่า เช่น เวลาอยากได้อะไรก็จะไปเข้ากรรมฐานแล้วอธิษฐานขอสิ่งนั้น (กรรมฐานแบบโลภๆ) ไม่ได้คิดขนาดอยากได้มรรคผลอะไรที่ลึกซึ้ง แต่ก็คิดว่าคงเป็นพื้นฐานให้ตนเองประมาณหนึ่งในเรื่องของพื้นฐานการนั่งสมาธิ เดินจงกรม การสร้างสติ หลัง ๆ ก็มีการไปทำบุญกับครูบาอาจารย์ ไปฟังธรรมตามที่ต่าง ๆ บ้าง (เช่น วัดหลวงพ่อปราโมทย์ ศาลาลุงชิน บ้านอารีย์ สวนโมกข์กรุงเทพฯ )
ความคิดเรื่องการบวช
ข้าพเจ้าไม่ค่อยมีความคิดต้องการที่จะบวชแบบชั่วคราวตามประเพณีมากนัก เพราะมีความรู้สึกว่าการเป็นฆราวาสก็สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้ อีกทั้งที่บ้าน พ่อแม่ก็ไม่เคยส่งเสริมให้บวช (อาจจะเพราะกลัวว่าถ้าบวชแล้วเดี๋ยวจะไม่สึก) ที่บ้านไม่ค่อยมีความเชื่อในประเพณีนี้ แต่ก็นึกอยู่ในส่วนลึกของใจตลอดว่า สักวันนึงก็อยากจะบวช แต่ถ้าบวชก็อยากจะบวชแบบยาว ๆ อย่างน้อยก็สัก 1 พรรษา หรือหลาย ๆ เดือน แต่ก็ได้แค่คิด เพราะชีวิตก็มีเรื่องของภาระอื่นๆ ด้านครอบครัว หน้าที่การงาน การศึกษา เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไม่ได้บวชสักที จนมาทำงานรับราชการ ก็คิดว่าสักวันอาจจะบวช เพราะมีสิทธิ แต่ก็มักจะขี้เกียจ คิดว่าไว้รอให้ว่างจากภาระการงานก่อนจึงค่อยบวช (และก็คงไม่เคยว่าง) โดยรวมคือลึก ๆ แล้วข้าพเจ้ามีความเห็นว่าการเป็นพระก็คงจะดีอยู่นั่นแหละ แต่ก็ยังมีการผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ
ข้าพเจ้าเริ่มมาสวดมนต์หรือปฏิบัติธรรมอีกบ้าง ในช่วงปี 2002-2010 ที่ได้มีการไปปฏิบัติธรรมตามคอร์สต่าง ๆ เช่นยุวพุทธิกสมาคม (คุณแม่สิริ กรินชัย) วัดอัมพวัน (หลวงพ่อจรัญ ฐิติธรรมโม) แต่ออกจะเป็นแนวการเข้าอบรมกรรมฐานเพื่อให้เกิดชีวิตที่ดี มีโชคลาภในชีวิตฆราวาสเสียมากกว่า เช่น เวลาอยากได้อะไรก็จะไปเข้ากรรมฐานแล้วอธิษฐานขอสิ่งนั้น (กรรมฐานแบบโลภๆ) ไม่ได้คิดขนาดอยากได้มรรคผลอะไรที่ลึกซึ้ง แต่ก็คิดว่าคงเป็นพื้นฐานให้ตนเองประมาณหนึ่งในเรื่องของพื้นฐานการนั่งสมาธิ เดินจงกรม การสร้างสติ หลัง ๆ ก็มีการไปทำบุญกับครูบาอาจารย์ ไปฟังธรรมตามที่ต่าง ๆ บ้าง (เช่น วัดหลวงพ่อปราโมทย์ ศาลาลุงชิน บ้านอารีย์ สวนโมกข์กรุงเทพฯ )
ความคิดเรื่องการบวช
ข้าพเจ้าไม่ค่อยมีความคิดต้องการที่จะบวชแบบชั่วคราวตามประเพณีมากนัก เพราะมีความรู้สึกว่าการเป็นฆราวาสก็สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้ อีกทั้งที่บ้าน พ่อแม่ก็ไม่เคยส่งเสริมให้บวช (อาจจะเพราะกลัวว่าถ้าบวชแล้วเดี๋ยวจะไม่สึก) ที่บ้านไม่ค่อยมีความเชื่อในประเพณีนี้ แต่ก็นึกอยู่ในส่วนลึกของใจตลอดว่า สักวันนึงก็อยากจะบวช แต่ถ้าบวชก็อยากจะบวชแบบยาว ๆ อย่างน้อยก็สัก 1 พรรษา หรือหลาย ๆ เดือน แต่ก็ได้แค่คิด เพราะชีวิตก็มีเรื่องของภาระอื่นๆ ด้านครอบครัว หน้าที่การงาน การศึกษา เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไม่ได้บวชสักที จนมาทำงานรับราชการ ก็คิดว่าสักวันอาจจะบวช เพราะมีสิทธิ แต่ก็มักจะขี้เกียจ คิดว่าไว้รอให้ว่างจากภาระการงานก่อนจึงค่อยบวช (และก็คงไม่เคยว่าง) โดยรวมคือลึก ๆ แล้วข้าพเจ้ามีความเห็นว่าการเป็นพระก็คงจะดีอยู่นั่นแหละ แต่ก็ยังมีการผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ
เรียนต่อต่างประเทศ ศรัทธาวัดหนองป่าพง
เล่าย้อนหลังถึงในช่วงปี 2005-2010 ข้าพเจ้าได้ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย Stanford ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมือง San Francisco และได้มีโอกาสขับรถเพื่อไปทำบุญ ฟังธรรมที่วัดอภัยคีรี (Abhayagiri Monastery) ซึ่งเป็นสาขาของวัดหนองป่าพงแห่งแรกในสหรัฐอเมริกา ใช้เวลาขับรถประมาณ 3 ชั่วโมงจากเมือง San Francisco ขณะนั้นมีท่านอาจารย์ปสันโน (ชาวแคนาดา) และอาจารย์อมโร (ชาวอังกฤษ) เป็นเจ้าอาวาสร่วม และได้เกิดความรู้สึกศรัทธาต่อข้อวัตรปฏิบัติที่มีความสงบ เรียบร้อย ดูน่าเลื่อมใส และได้เอาหนังสือเอกสารต่างๆ ของสำนักสาขาหนองป่าพง มาศึกษาและมีความรู้สึกว่า ดูพระที่นี่มีความน่าเลื่อมใส แม้จะเป็นคนต่างชาติ เป็นฝรั่ง ถ้าเราบวชก็อยากจะบวชแบบนี้ แต่ก็เป็นแค่ความคิดเฉย ๆ
หลังจากนั้นก็ได้เดินทางไปทำบุญที่วัดอภัยคีรีบ่อย ๆ และมีความคุ้นเคยกับข้อวัตรของพระในสายหลวงปู่ชา (Ajahn Chah's tradition) และได้รู้จักกับพระอาจารย์ในสายนี้หลายรูป ปกติที่แห่งนี้ จะมีครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของไทย ได้เดินทางมาเยี่ยมที่วัดอภัยคีรี อยู่เรื่อย ๆ (คงเหมือนเป็นจุดพักในการเดินทางมาสหรัฐอเมริกา ของพระในสายหนองป่าพง) เช่น ท่านพระ อ.ชยสาโร อ.ตั๋น (อัครเดช ถิรจิตโต) อ.เปี๊ยก (ประสพไชย กันตสีโล) ฯลฯ ทำให้ข้าพเจ้ามีความคุ้นเคยกับชื่อเสียงของครูบาอาจารย์ในสายนี้อยู่บ้าง
กลับไทย ห่างจากวัดอีก
หลังจากกลับไทย ปี 2010 ด้วยเหตุผลบางประการในใจ ข้าพเจ้าก็ได้ห่างเหินจากวัดวาไปอีกสักพักใหญ่ ๆ หลายปี แต่ก็ยังมีกัลยาณมิตร เพื่อนฝูงที่เป็นชาววัดอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงที่เสวยบุญเก่า เพราะแทบไม่ค่อยจะได้สนใจเรื่องการปฏิบัติหรือการทำบุญอะไรเลย แม้แต่การใส่บาตรก็แทบจะไม่ได้ทำ (แต่ก็ถือว่าชีวิตก็ยังสบายดีอยู่ แบบประมาทๆ) คล้าย ๆ ว่ารู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ก็ยังไม่อยากทำ ขอตั้งใจทำงานทางโลกให้ดี ไม่ทำบาป(มากนัก) ก็เพียงพอแล้ว
พ่อเสีย มกราคม 2017
หลังจากข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตไปแบบโลก ๆ ที่ประสบความสำเร็จพอสมควร (เรียนจบปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง ได้ทำอะไรที่ตนเองสนใจ ได้ทำงานวิจัยที่ชอบ มีคนเชิญไปทำโน่นทำนี่ที่ทำให้เราภูมิใจในความสามารถตนเอง มีรายได้พอเลี้ยงตัวได้) ก็เกิดเหตุการณ์วิกฤติส่วนตัวคือ บิดาของข้าพเจ้าได้เสียชีวิตลงในปลายเดือนมกราคม 2017 เนื่องจากโรคมะเร็งปอด วินาทีนั้นทำให้ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจในทันทีว่า ปีนี้ข้าพเจ้าจะต้องลาบวช (ข้าราชการสามารถใช้สิทธิลาบวชได้ 120 วัน) เพื่อต้องการจะอุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อ อีกส่วนหนึ่งคือข้าพเจ้าเกิดมรณานุสติอย่างชัดเจน รุนแรง ว่าสุดท้ายชีวิตคนเราก็แค่นี้ ไม่ว่าจะมีทรัพย์สินเงินทอง ยศศักดิ์ เพื่อนฝูง มิตรสหาย ความสำเร็จทางโลกมากแค่ไหน สุดท้ายก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง ต้องทิ้งกายเอาไว้ เหลือแต่วิญญาณ ที่ต้องท่องเที่ยวต่อไปในวัฏสงสาร จะไปอยู่ในภพภูมิที่ดีหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมหรือการฝึกจิตที่ได้ทำไว้ก่อนเสียชีวิต ไม่ว่าเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องคนไหนก็ช่วยเหลือเราไม่ได้ จึงคิดว่าจะต้องบวชแน่นอน...
เล่าย้อนหลังถึงในช่วงปี 2005-2010 ข้าพเจ้าได้ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย Stanford ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมือง San Francisco และได้มีโอกาสขับรถเพื่อไปทำบุญ ฟังธรรมที่วัดอภัยคีรี (Abhayagiri Monastery) ซึ่งเป็นสาขาของวัดหนองป่าพงแห่งแรกในสหรัฐอเมริกา ใช้เวลาขับรถประมาณ 3 ชั่วโมงจากเมือง San Francisco ขณะนั้นมีท่านอาจารย์ปสันโน (ชาวแคนาดา) และอาจารย์อมโร (ชาวอังกฤษ) เป็นเจ้าอาวาสร่วม และได้เกิดความรู้สึกศรัทธาต่อข้อวัตรปฏิบัติที่มีความสงบ เรียบร้อย ดูน่าเลื่อมใส และได้เอาหนังสือเอกสารต่างๆ ของสำนักสาขาหนองป่าพง มาศึกษาและมีความรู้สึกว่า ดูพระที่นี่มีความน่าเลื่อมใส แม้จะเป็นคนต่างชาติ เป็นฝรั่ง ถ้าเราบวชก็อยากจะบวชแบบนี้ แต่ก็เป็นแค่ความคิดเฉย ๆ
หลังจากนั้นก็ได้เดินทางไปทำบุญที่วัดอภัยคีรีบ่อย ๆ และมีความคุ้นเคยกับข้อวัตรของพระในสายหลวงปู่ชา (Ajahn Chah's tradition) และได้รู้จักกับพระอาจารย์ในสายนี้หลายรูป ปกติที่แห่งนี้ จะมีครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของไทย ได้เดินทางมาเยี่ยมที่วัดอภัยคีรี อยู่เรื่อย ๆ (คงเหมือนเป็นจุดพักในการเดินทางมาสหรัฐอเมริกา ของพระในสายหนองป่าพง) เช่น ท่านพระ อ.ชยสาโร อ.ตั๋น (อัครเดช ถิรจิตโต) อ.เปี๊ยก (ประสพไชย กันตสีโล) ฯลฯ ทำให้ข้าพเจ้ามีความคุ้นเคยกับชื่อเสียงของครูบาอาจารย์ในสายนี้อยู่บ้าง
กลับไทย ห่างจากวัดอีก
หลังจากกลับไทย ปี 2010 ด้วยเหตุผลบางประการในใจ ข้าพเจ้าก็ได้ห่างเหินจากวัดวาไปอีกสักพักใหญ่ ๆ หลายปี แต่ก็ยังมีกัลยาณมิตร เพื่อนฝูงที่เป็นชาววัดอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงที่เสวยบุญเก่า เพราะแทบไม่ค่อยจะได้สนใจเรื่องการปฏิบัติหรือการทำบุญอะไรเลย แม้แต่การใส่บาตรก็แทบจะไม่ได้ทำ (แต่ก็ถือว่าชีวิตก็ยังสบายดีอยู่ แบบประมาทๆ) คล้าย ๆ ว่ารู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ก็ยังไม่อยากทำ ขอตั้งใจทำงานทางโลกให้ดี ไม่ทำบาป(มากนัก) ก็เพียงพอแล้ว
พ่อเสีย มกราคม 2017
หลังจากข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตไปแบบโลก ๆ ที่ประสบความสำเร็จพอสมควร (เรียนจบปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง ได้ทำอะไรที่ตนเองสนใจ ได้ทำงานวิจัยที่ชอบ มีคนเชิญไปทำโน่นทำนี่ที่ทำให้เราภูมิใจในความสามารถตนเอง มีรายได้พอเลี้ยงตัวได้) ก็เกิดเหตุการณ์วิกฤติส่วนตัวคือ บิดาของข้าพเจ้าได้เสียชีวิตลงในปลายเดือนมกราคม 2017 เนื่องจากโรคมะเร็งปอด วินาทีนั้นทำให้ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจในทันทีว่า ปีนี้ข้าพเจ้าจะต้องลาบวช (ข้าราชการสามารถใช้สิทธิลาบวชได้ 120 วัน) เพื่อต้องการจะอุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อ อีกส่วนหนึ่งคือข้าพเจ้าเกิดมรณานุสติอย่างชัดเจน รุนแรง ว่าสุดท้ายชีวิตคนเราก็แค่นี้ ไม่ว่าจะมีทรัพย์สินเงินทอง ยศศักดิ์ เพื่อนฝูง มิตรสหาย ความสำเร็จทางโลกมากแค่ไหน สุดท้ายก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง ต้องทิ้งกายเอาไว้ เหลือแต่วิญญาณ ที่ต้องท่องเที่ยวต่อไปในวัฏสงสาร จะไปอยู่ในภพภูมิที่ดีหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมหรือการฝึกจิตที่ได้ทำไว้ก่อนเสียชีวิต ไม่ว่าเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องคนไหนก็ช่วยเหลือเราไม่ได้ จึงคิดว่าจะต้องบวชแน่นอน...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น